Generation Gap กับการทำงาน: เมื่อความแตกต่างกลายเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กร
Generation Gap กับการทำงาน: เมื่อความแตกต่างกลายเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กร
"วัยต่างกัน มุมมองต่างกัน” เป็นเรื่องปกติในที่ทำงานยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยคนหลากหลายเจเนอเรชัน ไม่ว่าจะเป็น Baby Boomers, Gen X, Millennials (Gen Y) และ Gen Z ทุกคนมีวิธีคิด วิธีทำงาน และค่านิยมที่แตกต่างกัน ทำให้เกิด “ช่องว่างระหว่างวัย” หรือ Generation Gap ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง หรือกลายเป็นโอกาสในการสร้างนวัตกรรมก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรจะบริหารจัดการอย่างไร
**1. เมื่อ Generation Gap กลายเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กร ** แทนที่จะมอง Generation Gap เป็นปัญหา องค์กรสามารถเปลี่ยนให้เป็นโอกาสในการสร้างทีมที่แข็งแกร่งได้
การส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน: องค์กรควรสร้าง ทีมข้ามเจเนอเรชัน (Cross-Generation Team) เพื่อให้คนแต่ละวัยได้เรียนรู้จากกัน เช่น
- Boomers & Gen X ถ่ายทอดประสบการณ์และทักษะการบริหาร
- Millennials & Gen Z นำเสนอนวัตกรรม เทคโนโลยี และไอเดียใหม่ ๆ
การปรับรูปแบบการสื่อสารให้เหมาะสม: ใช้แพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่น เช่น มีทั้งการประชุมแบบตัวต่อตัวสำหรับคนที่ชอบการสื่อสารแบบดั้งเดิม และการใช้แชตหรือ Collaboration Tools สำหรับคนรุ่นใหม่
การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning Culture)
- ให้พนักงานทุกเจเนอเรชันได้พัฒนาทักษะใหม่ๆ เช่น
- Boomers & Gen X ได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่
- Millennials & Gen Z ได้รับคำแนะนำด้านภาวะผู้นำและการตัดสินใจ
2. องค์กรยุคใหม่ ต้องบริหาร Generation Gap อย่างไร?
เปิดพื้นที่ให้พนักงานทุกวัยมีส่วนร่วม: สร้าง Open Communication Culture ให้ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้อย่างเท่าเทียม
ปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวคิด Multi-Generational Workforce: องค์กรต้องมี Flexible Work Environment เช่น มีทั้ง Hybrid Work และโอกาสในการเติบโตที่เหมาะสมกับแต่ละวัย
สร้างโครงการ "Mentorship & Reverse Mentorship"
- ให้พนักงานอาวุโสเป็น Mentor สอนทักษะด้านธุรกิจ
- ให้พนักงานรุ่นใหม่เป็น Reverse Mentor แนะนำเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม
Generation Gap อาจเป็นความท้าทาย แต่ถ้าองค์กรสามารถบริหารจัดการได้ดี ความแตกต่างจะกลายเป็นพลังที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน
แทนที่จะปล่อยให้ช่องว่างของวัยเป็นปัญหา ลองเปลี่ยนมุมมอง แล้วใช้จุดแข็งของแต่ละเจเนอเรชันให้เป็นประโยชน์ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทีมที่ดี ไม่ใช่ทีมที่เหมือนกัน แต่คือทีมที่เสริมจุดแข็งให้กันและกันGeneration Gap กับการทำงาน: เมื่อความแตกต่างกลายเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กร
“วัยต่างกัน มุมมองต่างกัน” เป็นเรื่องปกติในที่ทำงานยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยคนหลากหลายเจเนอเรชัน ไม่ว่าจะเป็น Baby Boomers, Gen X, Millennials (Gen Y) และ Gen Z ทุกคนมีวิธีคิด วิธีทำงาน และค่านิยมที่แตกต่างกัน ทำให้เกิด “ช่องว่างระหว่างวัย” หรือ Generation Gap ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง หรือกลายเป็นโอกาสในการสร้างนวัตกรรมก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรจะบริหารจัดการอย่างไร
เมื่อ Generation Gap กลายเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กร
แทนที่จะมอง Generation Gap เป็นปัญหา องค์กรสามารถเปลี่ยนให้เป็นโอกาสในการสร้างทีมที่แข็งแกร่งได้
การส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน องค์กรควรสร้างทีมข้ามเจเนอเรชัน (Cross-Generation Team) เพื่อให้คนแต่ละวัยได้เรียนรู้จากกัน เช่น
- Boomers & Gen X ถ่ายทอดประสบการณ์และทักษะการบริหาร
- Millennials & Gen Z นำเสนอนวัตกรรม เทคโนโลยี และไอเดียใหม่ๆ
การปรับรูปแบบการสื่อสารให้เหมาะสมใช้แพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่น เช่น มีทั้งการประชุมแบบตัวต่อตัวสำหรับคนที่ชอบการสื่อสารแบบดั้งเดิม และการใช้แชตหรือ Collaboration Tools สำหรับคนรุ่นใหม่
การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning Culture) ให้พนักงานทุกเจเนอเรชันได้พัฒนาทักษะใหม่ๆ เช่น
- Boomers & Gen X ได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่
- Millennials & Gen Z ได้รับคำแนะนำด้านภาวะผู้นำและการตัดสินใจ
องค์กรยุคใหม่ ต้องบริหาร Generation Gap อย่างไร?
- เปิดพื้นที่ให้พนักงานทุกวัยมีส่วนร่วม
- สร้าง Open Communication Culture ให้ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้อย่างเท่าเทียม
- ปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวคิด Multi-Generational Workforce
- องค์กรต้องมี Flexible Work Environment เช่น มีทั้ง Hybrid Work และโอกาสในการเติบโตที่เหมาะสมกับแต่ละวัย
- สร้างโครงการ "Mentorship & Reverse Mentorship"
- ให้พนักงานอาวุโสเป็น Mentor สอนทักษะด้านธุรกิจ
- ให้พนักงานรุ่นใหม่เป็น Reverse Mentor แนะนำเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม
Generation Gap อาจเป็นความท้าทาย แต่ถ้าองค์กรสามารถบริหารจัดการได้ดี ความแตกต่างจะกลายเป็นพลังที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน แทนที่จะปล่อยให้ช่องว่างของวัยเป็นปัญหา ลองเปลี่ยนมุมมอง แล้วใช้จุดแข็งของแต่ละเจเนอเรชันให้เป็นประโยชน์ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทีมที่ดี ไม่ใช่ทีมที่เหมือนกัน แต่คือทีมที่เสริมจุดแข็งให้กันและกัน
*บทความโดย: อ.จั๊ว อรรถกร ธัญลักษณ์เมธา
- Positive Psychologist
- Team Collaboration Facilatator
#PerformanceManagement #LeadershipDevelopment #SolutionsTalk #Organization #TeamPerformance #เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีม #ส่งเสริมการเรียนรู้และนวัตกรรม
────
ติดต่อสอบถามหลักสูตรสำหรับพัฒนาทีมที่มีประสิทธิภาพ โทร 063-249-3247