จิตวิทยาเชิงบวกกับการบริหารทีมอย่างมีประสิทธิภาพ
ในปัจจุบัน แนวคิดด้านจิตวิทยาได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นศาสตร์ที่ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรม ความคิด และอารมณ์ของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง การศึกษาและประยุกต์ใช้จิตวิทยาไม่เพียงช่วยให้เรารู้จักตนเองและผู้อื่นดีขึ้น แต่ยังส่งเสริมการพัฒนาตนเอง การจัดการความเครียด และการปรับตัวในสังคม นอกจากนี้ จิตวิทยายังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อพูดถึงการบริหารทีม ความรู้ด้านจิตวิทยามีความสำคัญอย่างยิ่ง การนำหลักจิตวิทยามาใช้ในการบริหารทีมช่วยให้ผู้นำสามารถเข้าใจความต้องการ แรงจูงใจ และพฤติกรรมของสมาชิกในทีมได้ดียิ่งขึ้น การสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสม การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และการสร้างบรรยากาศการทำงานที่เป็นมิตร ล้วนเป็นผลจากการประยุกต์ใช้จิตวิทยาในการบริหาร สิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจของทีมงาน
Jackie Insinger ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเชิงบวกและประสาทวิทยาศาสตร์ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของจิตวิทยาเชิงบวกในการบริหารการทีม ดังนี้
1. จิตวิทยาเชิงบวกช่วยสร้างแรงจูงใจให้พนักงาน จิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychology) เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพของบุคคลแทนที่จะเน้นที่ข้อผิดพลาดหรือจุดอ่อน แนวคิดนี้เมื่อนำมาใช้ในที่ทำงาน จะช่วยให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่าและมั่นใจในตนเองมากขึ้น ส่งผลให้พวกเขาพร้อมทำงานอย่างเต็มศักยภาพและมีความสุขกับสิ่งที่ทำ นอกจากนี้ แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) เช่น การมีความสุขกับงานที่ทำ หรือรู้สึกว่างานมีความหมายและคุณค่า เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้พนักงานมีความพึงพอใจในงานและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ผู้นำที่มีทัศนคติเชิงบวกและความจริงใจช่วยยกระดับขวัญกำลังใจของทีม ผู้นำที่มีทัศนคติเชิงบวก (Positive Leadership) มีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศการทำงานที่เป็นมิตรและส่งเสริมความร่วมมือในทีม การแสดงออกถึงความจริงใจ (Authenticity) หมายถึงการเป็นผู้นำที่เปิดเผย จริงใจ และแสดงความห่วงใยต่อสมาชิกในทีมอย่างแท้จริง เมื่อลูกทีมรับรู้ว่าผู้นำใส่ใจและให้การสนับสนุนอย่างจริงใจ พวกเขาจะเกิดความไว้วางใจ ส่งผลให้พนักงานรู้สึกมีพลังและมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้นำและพนักงานยังช่วยลดความเครียดในที่ทำงาน และทำให้พนักงานมีความผูกพันกับองค์กรมากขึ้น
3. การสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety) สภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety) หมายถึงสถานที่ทำงานที่พนักงานสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกตัดสินหรือโดนลงโทษ การมีพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้พนักงานสามารถพูดสิ่งที่คิดอย่างตรงไปตรงมา จะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความคิดที่สร้างสรรค์และการพัฒนานวัตกรรมในองค์กร นอกจากนี้ องค์กรที่มี Psychological Safety สูงมักมีอัตราการลาออกต่ำ เนื่องจากพนักงานรู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับ และมีโอกาสเติบโตภายในองค์กร
4. ทีมที่มี Psychological Safety สูงมีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อลูกทีมรู้สึกว่าความคิดของพวกเขาได้รับการรับฟังอย่างแท้จริง พวกเขาจะกล้าคิดนอกกรอบและทดลองวิธีใหม่ๆ มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง วัฒนธรรมของทีมที่เปิดกว้างและพร้อมเรียนรู้จากกันและกัน เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ทีมมีความเข้มแข็งและมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม การสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยทางจิตใจต้องมาจากผู้นำที่เปิดกว้าง พร้อมรับฟังความคิดเห็นของทุกคน และส่งเสริมวัฒนธรรมที่ไม่ตำหนิเมื่อเกิดข้อผิดพลาด แต่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และพัฒนาเพื่อก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน
การนำหลักจิตวิทยาเชิงบวกมาใช้ในการบริหารทีมช่วยให้พนักงานมีแรงจูงใจและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นำที่มีทัศนคติที่ดีและความจริงใจสามารถยกระดับขวัญกำลังใจของพนักงานได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัยทางจิตใจช่วยให้พนักงานกล้าแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในกระบวนการคิดสร้างสรรค์ ส่งผลให้ทีมสามารถเติบโตและพัฒนาไปพร้อมกันได้อย่างยั่งยืน
บทความโดย: อ.แบท ดร.อธิษฐ์กร นิยมเดชาธีรฉัตร
- Organizational Psychologist
- Professional Action Learning Coach
- Team Psychological Safety Facilitator
#PerformanceManagement #LeadershipDevelopment #SolutionsTalk #Organization #TeamPerformance #เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีม #ส่งเสริมการเรียนรู้และนวัตกรรม
────
ติดต่อสอบถามหลักสูตรสำหรับพัฒนาทีมที่มีประสิทธิภาพ โทร 063-249-3247